รุกขเทวดา

รุกขเทวดา

โลกนี้ไม่ใช่บ้านของมนุษย์เราเผ่าพันธุ์เดียว แต่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมาย ตั้งแต่สิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างวาฬสีน้ำเงิน ไปจนถึงสิ่งที่เล็กจิ๋วที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมาอย่างแบคทีเรีย รวมไปถึงเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เริงร่าอยู่ในมิติทับซ้อนซึ่งละเอียดเกินกว่าสายตามนุษย์จะมองเห็น แต่บางครั้งพวกเราก็สัมผัสถึงพวกเขาได้… ในตอนที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของแมกไม้ อันเป็นบ้านอบอุ่นของเหล่ารุกขเทวดา (Tree Spirits)

สารบัญ

รุกขเทวดาคือใคร? จิตวิญญาณเร้นลับในต้นไม้

รุกขเทวดา รุกขเทวา หรือรุกขเทวี (Tree Spirits) เป็นคำสมาสในภาษาบาลี มีรากศัพท์มาจากคำว่า รุกข- (รุก-ขะ) แปลว่า ต้นไม้ (ความรู้เพิ่มเติม ในภาษาสันสกฤต ต้นไม้จะใช้คำว่า วฤกษฺ หรือ พฤกษฺ อย่างที่เราใช้ว่า พฤกษา นั่นเอง)

รุกข- สมาสกับภาษาบาลีสันสกฤตคำว่า เทวตา หรือเทวดา ที่แปลว่า ชาวสวรรค์มีกายทิพย์ ตาทิพย์ หูทิพย์ กินอาหารทิพย์ และเป็นโอปปาติกะ ( (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) คือ การเกิดประเภทหนึ่ง ผู้เกิดจะผุดเกิดขึ้นเองตามกรรมโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วโตเลย) ปกติเทวดาจะหมายถึงชาวสวรรค์เพศชาย และเทวีหมายถึงชาวสวรรค์เพศหญิง จะเรียกนางฟ้าก็ได้ )

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “รุกขเทวดา คือ เทวดาจำพวกหนึ่งที่สิงสถิตอยู่ตามต้นไม้” อธิบายง่าย ๆ คือ ต้นไม้เป็นบ้านของพวกเขา รุกขเทวดามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่บ่อยครั้งเราจะรู้จักรุกขเทวดาที่เป็นผู้หญิงมากกว่า และเรียกพวกเธอว่า “นางไม้”

นางไม้

รุกขเทวดา นางไม้ ต่างจากภูตผีอย่างไร

มาลินทร์ขออธิบายความแตกต่างระหว่างรุกขเทวดาและนางไม้ กับภูตผีที่สิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ไว้หน่อยนะคะ หลังจากที่ตบตีกับตัวเองมาสักพักถึงความแตกต่างของเผ่าพันธุ์นี้

บางแหล่งข้อมูลที่มาลินทร์หา มักจะรวม “พราย (Ghost)” (ผีจำพวกหนึ่ง) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์และเสียชีวิตแล้วมาสิงสถิตอยู่ในต้นไม้ไว้เป็นจำพวกเดียวกับนางไม้ และส่วนใหญ่ก็ตีความว่าเป็นผู้หญิง เลยเกิดคำถามว่า แล้วถ้าเป็นผู้ชายที่เสียชีวิตแล้วไปสิงอยู่ในต้นไม้ล่ะ แบบนี้ก็เรียกนางไม้ไม่ได้น่ะสิ ยิ่งเรียกรุกขเทวดาไม่ได้ใหญ่ เพราะสัมภเวสีไม่ใช่เผ่าพันธุ์เทวดา หากจะตีความจากความหมายในพจนานุกรม สัมภเวสี คือ ผู้แสวงหาที่เกิด (ยังไม่เกิด, รอไปเกิด) ในขณะที่รุกขเทวดา คือชาวสวรรค์ที่เกิดแบบโอปปาติกะ นั่นแปลว่ารุกขเทวดาหรือนางไม้ “เกิดแล้ว” และเกิดเป็นชาวสวรรค์ด้วย

ดังนั้น รุกขเทวดาและนางไม้ในบทความนี้ จึงหมายถึง เผ่าพันธุ์ที่กำเนิดมาโดยอาศัยอยู่ในต้นไม้และปกปักรักษาต้นไม้ เท่านั้น จะไม่หมายรวมถึงเหล่าสัมภเวสีที่มาสิงสถิตอยู่ตามต้นไม้เพื่อรอเวลาเกิดนะคะ

อีกทั้ง มาลินทร์จะใช้คำว่ารุกขเทวดาที่ครอบคลุมทั้งสองเพศ และครอบคลุมความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่สถิตอยู่ในต้นไม้จากตำนานทั่วโลกด้วย

รุกขเทวดา ต่างจากเฟย์หรือแฟรี่อย่างไร

แม้แต่ในโลกของเราเอง ยังมีสิ่งมีชีวิตหลายเผ่าพันธุ์ที่อาจจะดูใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันออกไป ในมิติอื่น ๆ เอง ก็มีเผ่าพันธุ์มากมายที่ถือกำเนิดขึ้นมา และอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด แต่กลับแตกต่างเช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งรุกขเทวดาและแฟรี่เองก็เป็นอย่างนั้น มาลินทร์ขออธิบายความแตกต่างระหว่างรุกขเทวดาและแฟรี่ไว้ให้ทุกคนทำความเข้าใจเบื้องต้น

ถึงแม้รุกขเทวดาและแฟรี่จะมีต้นกำเนิดคล้ายกัน คือ เป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติที่มีอยู่ดั้งเดิม ชอบการละเล่น รักเสียงดนตรี รักสวยรักงาม มีเวทมนตร์บันดาล แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันไป

รุกขเทวดาจะมีร่างกายเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตางดงาม รักสงบ ในขณะที่แฟรี่บางเผ่าพันธุ์จะมีรูปลักษณ์เล็กจิ๋ว มีปีก หรือรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีพลังล้นเหลือ ซุกซน เจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และบางตนก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์ด้วย

รุกขเทวดามีบ้านบนต้นไม้ และมีจิตวิญญาณผูกพันกับต้นไม้อย่างลึกซึ้ง แต่แฟรี่ไม่ได้อาศัยอยู่ในต้นไม้ พวกเขามีอาณาจักรของตัวเอง และอาศัยอยู่ในอาณาจักรนั้น

ในส่วนหน้าที่ รุกขเทวดามีหน้าที่เฝ้าต้นไม้ ปกป้องพื้นที่ธรรมชาติ ในขณะที่แฟรี่มีหลากหลายหน้าที่ เช่น ปกป้องโบราณสถาน ปกป้องพื้นที่ธรรมชาติ สร้างคำสาป และหลอกล่อมนุษย์

ความแตกต่างข้อสุดท้าย รุกขเทวดาจะเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา ภพภูมิ และวรรณคดี ส่วนแฟรี่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อพื้นบ้านของยุโรป และไสยศาสตร์ แม่มดบางตนก็มีแฟรี่เป็นคอมพาเนียน (Companion) ช่วยเรื่องมนตราคาถาด้วยนะ

เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ถ้าแฟรี่คือเผ่าพันธุ์ที่ชอบเล่นซ่อนแอบอยู่ในกลีบดอกไม้ รุกขเทวดาก็คือเผ่าพันธุ์ที่เฝ้ามองพวกเขาเล่นอย่างสงบ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่นั่นเอง

Tree Spirit

รุกขเทวดาในแต่ละวัฒนธรรม

รุกขเทวดาเป็นความเชื่อที่มีร่วมกันทั่วโลก ผู้คนเชื่อว่ามีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในธรรมชาติ โดยเฉพาะในต้นไม้ใหญ่ และมีชื่อเรียกขานรุกขเทวดาแตกต่างกันไป รวมถึงเรื่องราวในแง่มุมอื่น ๆ ของพวกเขาด้วย

รุกขเทวดา (Rukkha Deva)

พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูอธิบายไว้ว่า รุกขเทวดา คือ ชาวสวรรค์เผ่าพันธุ์หนึ่ง (เผ่าคนธรรพ์) ที่อาศัยอยู่ในต้นไม้ ขออธิบายเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้วคนธรรพ์มีหลายหน้าที่และหลายระดับค่ะ โดยแบ่งเป็นระดับสูง-กลาง-ล่าง

คนธรรพ์ระดับสูงจะมีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา (ชั้นที่ 1 ชั้นล่างที่อยู่ใกล้กับโลกมนุษย์ที่สุด สวรรค์ชั้น 1 มีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ ทั้งเผ่ายักษ์ เผ่าครุฑ เผ่านาค เผ่าคนธรรพ์ (ถนัดด้านศิลปะ) เผ่าวิทยาธร (ถนัดด้านวิชาการ) เผ่ากุมภัณฑ์ (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อออร์ก (Orc) ยักษ์ระดับล่าง ทำหน้าที่รับใช้)

คนธรรพ์ระดับกลางมีวิมานลอยฟ้า และบางส่วนอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ส่วนคนธรรพ์ระดับล่างจะมีวิมานอยู่บนต้นไม้ในโลกมนุษย์ค่ะ

พวกเขามีนครหลวงของตนเองชื่อว่า “คนธรรพโลก (คน-ทับ-พะ-โลก)” เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ โดยมีอธิบดีชื่อ “ท้าวจิตรรถ หรือจิตรเสน” เป็นผู้ปกครองนคร

ตามลักษณะนิสัยของคนธรรพ์ พวกเขามีรูปร่างงดงาม แต่งกายงดงาม ชอบความสวยงาม ความรื่นเริงบันเทิงใจ บางตนอาจจะติดเจ้าชู้ไปด้วยซ้ำ

ปกติแล้วรุกขเทวดาจะชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ก้าวก่ายหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่หากมีมนุษย์มาทำลายบ้าน หรือทำให้พวกเขาโกรธขึ้นมา รุกขเทวดาก็อาจสาปแช่งหรือบันดาลสิ่งไม่ดีให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน

ดรายแอด (Dryad)

ในตำนานกรีกโบราณ “ดรายแอด” (Dryad) คือ นิมฟ์ (Nymph) หรือจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติประเภทหนึ่งที่สถิตอยู่ในต้นไม้ มีร่างกายงดงาม สวมเสื้อผ้างดงาม ผิวพรรณก็งาม บางตำนานเชื่อว่าพวกเขาอาจมีผิวสีเขียวอ่อนกลืนไปกับผืนป่าที่อาศัยอยู่ บ้างก็ว่ามีดวงตาเป็นประกายราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้า

Dryads

ภาพเหล่าดรายแอดกำลังเต้นรำ (Dance of the Dryads) เครดิตจาก National Gallery of Art, Washington DC

ดรายแอดถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับธรรมชาติ และมีความผูกพันกับต้นไม้ โดยเฉพาะ “ต้นโอ๊ก (Oak)” (Drys ในภาษากรีก แปลว่า ต้นโอ๊ก) ซึ่งในกรีกโบราณถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเทพซุส (Zeus)

เมื่อเวลาผันผาน ดรายแอดได้เริ่มเชื่อมโยงกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆ มากขึ้น เช่น ต้นป็อปลาร์ (Poplar) ต้นเบิร์ช (Birch) เป็นต้น โดยบ้านของพวกเขาคือลำต้นไม้ รากไม้ และมียอดเรือนเป็นเงาใบไม้ที่แผ่กิ่งก้านอย่างอิสระ

ดรายแอดมีนิสัยขี้อาย รักความสงบ และมักหลีกเลี่ยงการพบเจอมนุษย์ แต่หากผู้ใดเข้ามารุกราน หรือทำลายต้นไม้โดยไม่ให้เกียรติ พวกเขาก็อาจบันดาลให้เกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นจากความโกรธเกรี้ยวได้

ที่จริงแล้วดรายแอดนั้นมีหลายประเภทมีดรายแอดประเภทหนึ่งที่แตกต่างจากดรายแอดทั่วไปเล็กน้อย พวกเขามีชื่อว่า “ฮามาดรายแอด (Hamadryad)” มีลักษณะพิเศษตรงที่ ชีวิตจะผูกติดอยู่กับต้นไม้เพียงต้นเดียวเท่านั้น หากต้นไม้ต้นนั้นตาย ฮามาดรายแอดก็จะสิ้นชีวิตตามไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างฮามาดรายแอดกับต้นไม้จึงเป็นความผูกพันแบบ “ชีวิตแลกชีวิต” นั่นเอง

แล้วนอกจากนี้ก็ยังมีดรายแอดประจำต้นไม้อื่น ๆ ด้วย เช่น

  1. เมลิอาย (Meliai) : เมลิอายถือกำเนิดจากโลหิตของเทพอูรานอสที่หยดลงสู่พื้นดิน หลังเหตุการณ์ที่โครนอสก่อกบฏต่อบิดา พวกเธอผูกพันกับต้นแอช (Ash) ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มักใช้ทำหอกและอาวุธของนักรบกรีก ในบางตำนาน เมลิอายยังถูกมองว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคเหล็ก
  2. โอเรียดส์ (Oreiades) : โอเรียดส์เป็นวิญญาณผู้คุ้มครองภูเขาและต้นสนที่เติบโตบนที่สูงชัน พวกเธอมักปรากฏกายในร่างหญิงสาวที่มีความแข็งแรง กล้าหาญดุจนักล่า พวกเธอยังเป็นสหายใกล้ชิดขององค์เทพีอาร์เทมิส ผู้ครองป่าและการล่าอีกด้วย
  3. มาลีอะเดส (Maliades), เมลีอะเดส (Meliades) หรือ เอพิเมลีอะดีส (Epimelides) : รุกขเทวดาแห่งต้นแอปเปิลและผลไม้ มาลีอะเดสช่วยคุ้มครองผลผลิตให้กับชาวไร่ชาวสวน แต่นอกจากต้นไม้แล้ว มาลีอะเดสยังคอยเฝ้าดูแลฝูงแกะและสัตว์เลี้ยงในทุ่งด้วย จึงมักได้รับผลไม้สดและนมสดเป็นของเซ่นไหว้จากเหล่าชาวบ้าน
  4. แดฟไนอี (Daphnaie) หรือ ดาฟเน่ (Daphne) : ดาฟเน่มีตำนานมาจากหญิงสาวที่ถูกแปลงร่างเป็นต้นลอเรลเพื่อหนีเทพอะพอลโล (Apollo) พวกเธอจึงเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และการปกป้องตนเองจากการไล่ล่า
    ใบลอเรลที่เกี่ยวข้องกับดาฟเน่ ยังถูกนำมาใช้ทำมงกุฎมอบแก่กวีและวีรบุรุษ
  5. ไอจีรอย (Aigeiroi) : ไอจีรอยเป็นรุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นป็อปลาร์ดำ ต้นไม้สูงชะลูดริมแม่น้ำ ซึ่งมักถูกกล่าวถึงในฐานะวิญญาณแห่งความโศกเศร้าและความทรงจำ ในตำนานบางสายยังเล่าว่า ต้นป็อปลาร์มักเกี่ยวพันกับการไว้ทุกข์และการเปลี่ยนผ่านของชีวิต
  6. แอมเปลอย (Ampeloi) : แอมเปลอยคือรุกขเทวดาผู้คุ้มครองเถาองุ่น อันเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ของเทพไดโอนิซัส (Dionysus) พวกเธอถูกบรรยายว่าเป็นหญิงสาวงดงามที่ชอบการเฉลิมฉลองและไวน์ องุ่นจึงไม่ได้เป็นเพียงผลไม้ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตและความสุขที่แอมเปลอยมอบให้แก่ผืนโลก
  7. บาลานิส (Balanis) : รุกขเทวดาแห่งต้นโอ๊ก ต้นไม้ที่ชาวกรีกถือว่าแข็งแกร่งและมั่นคงที่สุด พวกเขาจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและพลังแห่งโลกธรรมชาติ บางพื้นที่ยังใช้ต้นโอ๊กเป็นสถานที่ประกอบพิธีบูชาเทพซูส และมีบาลานิสเป็นผู้อารักขา
  8. คารีอาย (Karyai) : รุกขเทวดาแห่งต้นเฮเซลนัท ซึ่งเชื่อมโยงกับความอุดมสมบูรณ์และผลผลิต ในบางตำนาน คารีอายยังเกี่ยวข้องกับการเต้นรำและพิธีกรรมของเหล่าสตรีเพศ
  9. คราเนียอาย (Kraneiai) : รุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นเชอร์รี่ คราเนียอายมักถูกเชื่อมโยงกับความอ่อนเยาว์และความรักในฤดูใบไม้ผลิ และดอกเชอร์รี่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่งดงามแต่แสนสั้น
  10. โมรีอาย (Moreai) : รุกขเทวดาแห่งต้นหม่อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงไหมและผ้าไหมในยุคโบราณ
    โมรีอายจึงเป็นทั้งผู้คุ้มครองต้นไม้ และให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผู้คน บางตำนานยังเล่าว่า ใบหม่อนถูกใช้ในพิธีกรรมเพื่อความมั่งคั่งด้วย
  11. พะเทเลีย (Pteleai) : พะเทเลียคือรุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นเอล์ม มีเรื่องเล่าขานว่า พะเทเลียเป็นผู้เฝ้าทางและรอรับวิญญาณที่จากโลกนี้ไปแล้ว ต้นเอล์มจึงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของการเดินทาง และการเชื่อมโยงระหว่างสองโลก
  12. ไซค์ (Sykei) : รุกขเทวดาแห่งต้นมะเดื่อ ไซค์เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์และปัญญาลึกซึ้ง อีกทั้ง ต้นมะเดื่อยังเป็นสัญลักษณ์ของความลับและความลี้ลับที่ถูกซ่อนเร้นไว้

โคดามะ (Kodama (コダマ))

ในผืนป่าอันเงียบสงัดของแดนอาทิตย์อุทัย มีเผ่าพันธุ์เร้นลับที่แฝงกายอยู่ในต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ พวกเขาคือโคดามะ (Kodama) จิตวิญญาณแห่งต้นไม้ในความเชื่อตามหลักศาสนาชินโต ที่กล่าวว่า โคดามะคือผู้คอยปกปักรักษาผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์

kodama

ภาพโคดามะ เครดิตจาก Toriyama Sekien. Gazu Hyakki Yakō.

โคดามะสถิตอยู่ในต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าร้อยปีขึ้นไป โดยเฉพาะไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่หยั่งรากลึกบนภูเขา โดยสิ่งที่ทำให้โคดามะน่าสนใจคือ พวกเขาไม่มีรูปร่างที่ตายตัว บางตำนานก็บอกว่ามีรูปลักษณ์คล้ายชายชราผู้เปี่ยมด้วยปัญญา บ้างก็เล่าว่าโคดามะไร้รูปกาย มีเพียงเสียงสะท้อนลึกลับที่ดังแว่วออกมาจากต้นไม้ในยามค่ำคืน ราวกับพงไพรกำลังพูดคุยกับเรา

โคดามะเป็นวิญญาณรักสงบ แต่หากมีมนุษย์ทำลายต้นไม้ที่พวกเขาสถิตอยู่ ก็ถือเป็นการลบหลู่ที่ร้ายแรงอย่างมาก กล่าวกันว่า ผู้ที่กระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อาจต้องคำสาปของผืนป่าติดตามไปชั่วชีวิต

แม้โลกปัจจุบันจะเต็มไปด้วยอาคารสูงและถนนคอนกรีต ทว่าเรื่องราวของโคดามะก็ยังคงถูกเล่าขานและปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น ในภาพยนตร์ Princess Mononoke ของสตูดิโอจิบลิ ที่โคดามะถูกถ่ายทอดในรูปร่างตัวเล็กสีขาว ศีรษะกลม มีดวงหน้าเรียบง่าย กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมดุลระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์

ลอมา (Lauma)

ในตำนานของชาวลัตเวียและลิทัวเนีย มีการกล่าวถึงลอมา (Lauma) รุกขเทวดาผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา เดิมทีเธอเป็นดวงวิญญาณแห่งท้องฟ้า แต่เพราะสงสารความทุกข์ยากของเหล่ามนุษย์ จึงเลือกลงมาอยู่ใกล้ชิดกับโลก โดยสถิตอยู่ในพงพนาและริมธารน้ำที่เย็นใส

Lauma

รูปสลักลอมา (Laumė) ประติมากรรมไม้ที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1980
โดย Romas Vencku ที่เนินเขาแม่มด (The Hill of Witches)

ลอมามักถูกบรรยายว่าเป็นสตรีงดงาม ผมทองของนางยาวสลวย ดวงตาเต็มไปด้วยความอาทร แต่ในบางเรื่องเล่าก็บอกว่า พวกนางอาจมีร่างกายที่ผสมลักษณะของสัตว์ด้วย เช่น มีกรงเล็บแหลมคมดุจนก หรือขาของแพะ ซึ่งสื่อถึงธรรมชาติสองด้านที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ทั้งความอ่อนโยน และพลังดิบเถื่อนของผืนป่า

ที่พำนักของลอมาไม่ใช่วิมาน แต่เป็นป่าไม้เขียวชอุ่มและลำธารใส พวกนางชอบเดินเล่นท่ามกลางร่มไม้ สดับฟังเสียงธารไหล คอยดูแลทั้งพืชพรรณและผู้คนที่พลัดหลงเข้ามาในความสงบของธรรมชาติ

บทบาทสำคัญของลอมา คือการเป็นผู้ปกปักรักษาเด็กกำพร้าและหญิงที่มีความทุกข์ เธอคอยยื่นมือมาโอบอุ้มผู้ไร้ที่พึ่งพิง ให้ความอบอุ่นเสมือนมารดาแห่งผืนป่า แต่ในขณะเดียวกัน หากผู้ใดลบหลู่หรือไม่เคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เธอสถิตอยู่ ลอมาก็พร้อมจะกลายเป็นผู้ลงทัณฑ์ ความเมตตาของพวกนางจึงขนานคู่กันไปกับความน่ายำเกรง

ลอมาจึงไม่ได้มีเพียงภาพของนางไม้ผมทอง หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตาและความยุติธรรมของธรรมชาติ ที่พร้อมจะโอบอุ้มผู้ทุกข์ยาก และลงโทษผู้ที่ลืมแสดงความเคารพต่อโลกใบนี้

ฮัลเดอร์ (Hulder)

ในผืนป่าและภูเขาสูงของสแกนดิเนเวีย มีเรื่องเล่าถึงฮัลเดอร์ (Hulder) รุกขเทวดาผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์ลึกลับ พวกนางเป็นที่รู้จักในตำนานของนอร์เวย์และสวีเดน ถูกมองว่าเป็นจิตวิญญาณของธรรมชาติที่คอยปกป้องป่าไม้และขุนเขา

Hulder

ภาพวาดฮัลเดอร์ในบทบาทสาวรีดนมวัว วาดโดยศิลปินชาวนอร์เวย์ ฮันส์ กูเด (Hans Gude) ในปี ค.ศ.1879

ฮัลเดอร์มักถูกบรรยายรูปลักษณ์ว่าเป็นหญิงสาวงดงาม ผมยาวเป็นสีทองสลวย ทว่ามีความพิเศษซ่อนอยู่ในร่างกาย… บางตำนานกล่าวว่าเธอมีหางของวัวหรือจิ้งจอก และหลังที่กลวงคล้ายลำต้นไม้ ซึ่งสื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทั้งความงาม ความลึกลับ และพลังดิบของผืนป่า

พวกนางอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าไม้และบนภูเขา เคลื่อนไหวอย่างเงียบสงัด เฝ้าสังเกตมนุษย์และสิ่งรอบตัวด้วยความระมัดระวัง

นิสัยของฮัลเดอร์มีทั้งความลึกลับและเสน่ห์เย้ายวน บางครั้งพวกนางล่อลวงมนุษย์ให้หลงทางอยู่ในป่า แต่หากผู้คนปฏิบัติต่อพวกนางด้วยความเคารพและความระมัดระวัง ฮัลเดอร์ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ นำโชคดีและความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้ที่คู่ควร

ฮัลเดอร์จึงเป็นตัวแทนของความงามลึกลับ และกฎแห่งธรรมชาติ ทั้งเตือนใจและชี้ทางให้ผู้ที่เดินเข้าสู่ป่าเรียนรู้ที่จะเคารพ และอยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างกลมเกลียว

ลักษณะเฉพาะของรุกขเทวดาจากทั่วโลก

ตามตำนานและความเชื่อในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ได้บรรยายถึงลักษณะเฉพาะของรุกขเทวดาไว้แตกต่างกันไป แต่ก็มีจุดที่คล้ายคลึงกันดังนี้

1. ผูกพันกับต้นไม้

ต้นไม้คือบ้านของเหล่ารุกขเทวดา แต่ใช่เพียงที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังเป็น “หัวใจ” ที่เชื่อมโยงวิญญาณของพวกเขากับโลกมนุษย์ด้วย ความสัมพันธ์นี้แน่นแฟ้นเสียจนบางตำนานกล่าวว่า หากต้นไม้ถูกฟันโค่นหรือยืนต้นตาย รุกขเทวดาที่สถิตอยู่ก็พลันดับสูญตามไปด้วย เสมือนวิญญาณและต้นไม้เป็นสิ่งเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม บางตำนานก็เล่าว่ารุกขเทวดาสามารถย้ายบ้านได้ หากต้นไม้ที่ตนเคยสถิตอยู่ตายลง พวกเขาอาจหาต้นไม้ต้นใหม่เพื่ออาศัยต่อไป เป็นการดำรงอยู่ที่สะท้อนถึงพลังชีวิตอันยืดหยุ่นของธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้น รุกขเทวดาบางจำพวกก็เลือกที่จะผูกพันกับต้นไม้เพียงต้นเดียว ไม่ว่ามันจะถูกแปรสภาพไปอย่างไรพวกเขาก็ยังคงเฝ้าดูแลอยู่อย่างนั้น เช่น ตำนานของต้นตะเคียน ที่แม้จะถูกนำไปสร้างเป็นเรือหรือเสาเอกบ้าน รุกขเทวดาก็ยังสถิตอยู่ และคอยปกป้องอย่างไม่เสื่อมคลาย

ความผูกพันนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ถึงการหลอมรวมระหว่างชีวิตกับธรรมชาติ มนุษย์โบราณจึงเชื่อว่า ต้นไม้แต่ละต้นมีวิญญาณที่เฝ้ามองอยู่เสมอ การปฏิบัติต่อต้นไม้จึงไม่ใช่เพียงการดูแลทรัพยากร แต่คือการให้เกียรติแก่สิ่งมีชีวิตอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ที่มีจิตวิญญาณและความทรงจำของผืนป่า

2. มีรูปลักษณ์งดงาม

แม้รูปลักษณ์อาจแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ฮัลเดอร์มีหางวัวหรือจิ้งจอก, ลอมามีกรงเล็บนก แต่ส่วนใหญ่แล้วรุกขเทวดามักจะปรากฏในร่างมนุษย์ และที่โดดเด่นที่สุดคือ ในรูปลักษณ์ของหญิงสาวผู้งดงาม ซึ่งกลายเป็นภาพจำที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแทบทุกวัฒนธรรม

ความงดงามของพวกนางมักถูกบรรยายว่าเป็นเสน่ห์ลี้ลับ ราวกับแสงแดดที่ลอดผ่านแมกไม้ หรือดอกไม้ที่แย้มกลีบบานในยามรุ่งสาง งดงามอย่างธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดแต่งเติม ความงามนี้ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่สะท้อนถึงพลังชีวิตและจิตวิญญาณของต้นไม้ที่พวกเธอสถิตอยู่

นอกจากนี้ ความงามยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แทน “ความสมบูรณ์พูนสุข” และ “เสน่ห์แห่งธรรมชาติ” ในสายตาของมนุษย์ เพราะเมื่อผู้คนจินตนาการถึงผืนไพร พวกเขามักคิดถึงภาพของหญิงสาวผู้เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางร่มไม้เสมอ เสมือนว่าธรรมชาติที่งดงามที่สุดต้องมีใบหน้าเป็นหญิงสาว

นางไม้

ภาพนางตะเคียน จากหนังสือเรื่อง 𝟑𝟏 𝐅𝐞𝐦𝐚𝐥𝐞 𝐆𝐡𝐨𝐬𝐭𝐬, 𝐌𝐨𝐧𝐬𝐭𝐞𝐫𝐬, & 𝐃𝐞𝐦𝐨𝐧𝐬 𝐟𝐫𝐨𝐦 𝐀𝐫𝐨𝐮𝐧𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐖𝐨𝐫𝐥𝐝
วาดโดย Alex Kujawa

3. เกี่ยวข้องกับการเคารพบูชาธรรมชาติ

ทั้งโคดามะ ดรายแอด และรุกขเทวดาในหลายวัฒนธรรม ต่างได้รับการเคารพบูชาในฐานะผู้สถิตอยู่ในต้นไม้ใหญ่และป่าเขา สิ่งที่มนุษย์มอบให้พวกเขามักเป็นของเซ่นไหว้ที่เรียบง่าย เช่น น้ำสะอาด ดอกไม้ ธูป หรือเพียงคำอธิษฐานที่เปล่งออกมาจากความเคารพศรัทธา

ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์โบราณตระหนักถึงพลังชีวิตที่สถิตอยู่ในธรรมชาติ และเชื่อว่าต้นไม้ไม่ได้เป็นเพียงไม้ยืนต้น แต่มีวิญญาณเฝ้าดูแลอยู่เบื้องหลัง การกระทำที่ไม่เคารพ เช่น การตัดไม้โดยไม่ขออนุญาต หรือการทำลายป่าโดยไม่คำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ มักถูกมองว่าเป็นการลบหลู่ ซึ่งจะนำมาซึ่งความอัปมงคลและคำสาปติดตัว

พิธีบูชาต้นไม้ จึงเป็นเสมือนสัญญาระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ว่ามนุษย์จะดำรงอยู่ร่วมกับผืนป่าด้วยความเคารพและกตัญญู ไม่ใช่ด้วยความโลภ โดยในหลายวัฒนธรรม การถวายของเล็กน้อยให้กับรุกขเทวดายังถูกมองว่าเป็นการขออนุญาต และขอความคุ้มครองจากวิญญาณผู้สถิตอยู่ในต้นไม้ด้วย

4. ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่แบบมนุษย์

สิ่งที่ทำให้รุกขเทวดาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป คือพวกเขาไม่ได้ถือกำเนิดจากครรภ์มารดา แต่ล้วนเกิดขึ้นจาก “พลังเหนือธรรมชาติ” ที่ผูกพันกับโลกและจักรวาล อย่างรุกขเทวดาในคติไทยก็เชื่อกันว่ากำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิ ดรายแอดของกรีกก็ถือกำเนิดจากเทพธิดาธรรมชาติ ผู้ประทานชีวิตให้กับต้นไม้ ขณะที่โคดามะของญี่ปุ่นนั้น ถือกำเนิดจากพลังวิญญาณของต้นไม้เก่าแก่ ที่สะสมพลังชีวิตมายาวนานจนก่อรูปเป็นจิตวิญญาณ

การไม่มีบิดามารดาในความหมายแบบมนุษย์ จึงทำให้รุกขเทวดาถูกมองว่าเป็นสิ่งเร้นลับและศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่สืบสายเลือดต่อกัน หากแต่เป็นการเกิดขึ้นเฉพาะตัว ผูกพันกับต้นไม้หนึ่งต้น หรือผืนป่าหนึ่งแห่ง เสมือนเป็น “วิญญาณผู้เฝ้าปกป้อง” ที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นเอง

แนวคิดนี้ยังสะท้อนความเชื่อร่วมกันในหลายวัฒนธรรมว่า พลังชีวิตของธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะหยั่งถึงได้ และเมื่อมันหนาแน่นมากพอ ก็สามารถก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องมีร่างกายหรือสายเลือดแบบมนุษย์ นั่นคือรุกขเทวดา สิ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับธรรมชาติ

5. เป็นผู้ปกป้องมากกว่าผู้ทำร้าย

แม้เรื่องเล่าเกี่ยวกับรุกขเทวดาจะมีบรรยากาศลึกลับ และบางครั้งก็ถูกเล่าขานให้ฟังดูน่ากลัวกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อเตือนใจคนไม่ให้ทำลายป่า แต่โดยเนื้อแท้แล้ว พวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างความหวาดกลัว หากแต่ทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ ที่คอยดูแลต้นไม้และป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์

ในตำนานหลายแห่ง รุกขเทวดามักเป็น สัญลักษณ์แห่งการปกป้อง เช่น โคดามะที่ทำให้ผู้คนเกรงกลัว ไม่กล้าฟันต้นไม้โดยพลการ ดรายแอดที่มีชีวิตผูกพันกับต้นไม้ จนใครก็ตามที่ทำลายไม้ต้นนั้นจะต้องรับผลกรรม หรือลอมาที่คอยดูแลผู้ทุกข์ยาก แต่จะลงโทษเฉพาะผู้ที่ลบหลู่พวกนาง

ดังนั้นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของรุกขเทวดา จึงไม่ใช่ “ปีศาจร้ายในป่า” แต่คือ ผู้พิทักษ์ที่บางครั้งจำเป็นต้องเข้มงวด เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ พวกเขาเป็นดังเสียงเตือนให้มนุษย์ไม่ลืมว่า ป่าไม้ไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการปกปักรักษาเช่นกัน

ต้นไม้แบบไหน ที่เชื่อว่ามีนางไม้สถิตอยู่?

เทพารักษ์

ในวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น เชื่อกันว่าต้นไม้ที่มีโคดามะอาศัยอยู่จะมีเครื่องหมายชิเมนาวะ
ซึ่งเป็นเชือกที่ทำจากฟางข้าวถักมัดรอบต้นไม้อยู่

จากการไปสืบค้นมา มาลินทร์ได้ค้นพบเนื้อความตอนหนึ่งจากคัมภีร์ “บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๐๙/๕๓๖.” ที่น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งได้กล่าวถึงลักษณะต้นไม้ที่มีรุกขเทวดาสถิตอยู่เอาไว้ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเทวดาซึ่งนับเนื่องในหมู่คนธรรพ์ เป็นอย่างไรเล่า

พวกเทวดาซึ่ง

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่รากก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่แก่นก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่กระพี้ก็มี (เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น)

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่เปลือกก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่กะเทาะก็มี (เปลือกไม้ที่หลุดล่อนออกมาจากพื้นเดิมหรือจากต้น)

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่ใบก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่ดอกก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่ผลก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่รสก็มี

อาศัยอยู่ที่ต้นไม้มีกลิ่นที่กลิ่นก็มี

ภิกษุทั้งหลาย ! พวกนี้เราเรียกว่า พวกเทวดาซึ่งนับเนื่องในหมู่คนธรรพ์”

จากเนื้อความนี้เราก็พอจะอนุมานได้ว่า รุกขเทวดาจะอาศัยอยู่ในพืชหรือต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมนั่นเองค่ะ ลองไปสังเกตต้นไม้แถวบ้านกันดูนะคะ ว่ามีต้นอะไรที่เข้าข่ายกันบ้าง

ภาษาลับของนางไม้ ถ้าพวกเขาอยากทักทาย จะใช้วิธีไหนกัน?

รุกขเทวดาไม่อาจพูดคุยกับมนุษย์ด้วยถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะอยู่กันคนละคลื่นความถี่พลังงาน พวกเขาจึงมี “ภาษาลับ” ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ หากเราสงบนิ่งและเปิดใจมากพอ ก็อาจสัมผัสความเมตตาของพวกเขาได้ผ่านสิ่งเหล่านี้…

เสียงลมที่แปลกไป

ในบางครั้งสายลมที่พัดผ่านแมกไม้อาจไม่เหมือนกับสายลมธรรมดา อาจมีเสียงหวีดหวิวกังวาน แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ หรือทิศทางของลมกลับหมุนวนผิดปกติ เสมือนเป็นการทักทายหรือเตือนให้รับรู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ

กลิ่นหอมไม่ทราบที่มา

ในบางคราเราก็อาจได้กลิ่นหอมของดอกไม้ปริศนา หรือกลิ่นเครื่องหอมลอยมาในสายลม ทั้งที่รอบ ๆ ไม่มีสิ่งใดให้กลิ่นนั้นเลย กลิ่นหอมนี้เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณว่า นางไม้กำลังปรากฏกายอยู่แถวนี้

การขยับของเงาไม้

บางครั้งในยามสายลมสงบ เงาไม้กลับเคลื่อนไหวหรือกิ่งไม้แกว่งไกวช้า ๆ อย่างมีจังหวะเหมือนมีใครบางคนจงใจขยับมัน

ความรู้สึกที่เหมือน “มีใครอยู่ด้วย”

แม้สายตาจะไม่เห็นใคร แต่เซนส์กลับสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลัง “เฝ้ามอง” หรือ “ไม่ได้อยู่คนเดียว” มีบรรยากาศอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย บางครั้งขนก็ลุกชันหรือรู้สึกเย็นวาบโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งหมดนี้คือสัญญาณว่าคุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

ภาษาลับของนางไม้ คือการสื่อสารผ่านธรรมชาติและความรู้สึก ไม่ใช่คำพูด หากผู้คนเปิดใจและตั้งใจฟัง จะพบว่าโลกธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยภาษาที่อ่อนโยนจากสิ่งเร้นลับเหล่านี้

นางไม้ในงานศิลป์และวรรณกรรม

เทพอุ้มสม

ภาพจิตรกรรมนางศุภลักษณ์ (พระไทร) อุ้มพระอุณรุทสู่ปราสาทนางอุษา จากบทละครเรื่องอุณรุท

ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีการกล่าวถึงตัวละครที่เป็นรุกขเทวดาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่รุกขเทวดามักจะมา “อุ้มสม” ให้ตัวละครเอกได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ถามความสมัครใจเสียอย่างนั้น (อุ้มสม คือ การที่เทวดามาอุ้มไปให้สมสู่กับคนที่ตัวเทวดาเองเห็นว่าคู่ควรค่ะ)

ยกตัวอย่างวรรณคดีเรื่องอุณรุท มี “พระไทร” หรือรุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นไทร ได้มาอุ้มพระอุณรุทให้ไปนอนกับนางอุษา หรือเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ รุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นโพธิ์ ก็ได้มาอุ้มพระสมุทรโฆษ แล้วพาเหาะไปยังห้องนอนของนางพินทุมดีเช่นกัน

ในด้านศิลปะ นางไม้ยังมีปรากฏในจิตรกรรมยุโรปยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) โดยศิลปินมักวาดภาพพวกนางออกมาเป็นหญิงสาวผู้งดงาม อยู่ท่ามกลางป่าไม้หรือสวนดอกไม้ เพื่อสื่อถึงความงามของธรรมชาติ และความลึกลับของสิ่งมีชีวิตในป่า ซึ่งการปรากฏภาพอย่างนี้ ทำให้นางไม้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความลึกลับ และพลังชีวิตของธรรมชาติ ที่ถูกนำเสนอทั้งในวรรณกรรมและศิลปะผ่านกาลเวลา

สรุป ถ้าเธอได้เจอนางไม้บ้างสักครั้ง… อย่าลืมขอบคุณนะ

รุกขเทวดาใช่เพียงเรื่องเล่าเก่าแก่ แต่เป็นตัวแทนของธรรมชาติที่มีชีวิต พวกเขาสะท้อนให้เราหยุดฟังเสียงของป่า ฟังเสียงลมหายใจของต้นไม้ และสัมผัสความอ่อนโยนของพืชพรรณ การได้พบรุกขเทวดา ไม่ว่าจะด้วยตาหรือด้วยหัวใจ คือของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อเตือนเราว่าโลกใบนี้ยังมีสิ่งเร้นลับที่รอให้เราเข้าใจและเคารพ

เพียงแค่เราหยุดฟัง และขอบคุณพลังชีวิตที่อยู่รอบตัว นางไม้ก็จะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม บางครั้งการปกป้องต้นไม้เพียงต้นเดียว หรือการชื่นชมความงามของป่า อาจกลายเป็นการรักษาชีวิตทั้งอาณานิคมของสิ่งมีชีวิตเล็กใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน นางไม้จึงเป็นทั้งผู้พิทักษ์ ความงาม และบทเรียนล้ำค่าว่า “ทุกชีวิตล้วนเชื่อมโยงกัน” และทุกครั้งที่เรารู้จักเคารพธรรมชาติ โลกก็จะงดงามขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ค่ะ

บรรณานุกรม

ไตรภูมิกถา บทที่ ๖ แดนสวรรค์ชั้นฉกามาพจร. สืบค้นจาก : www.vajirayana.org

นางไม้. สืบค้นจาก : www.legacy.orst.go.th

ความพิเศษของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา. สืบค้นจาก : www.kalyanamitra.org

DRYADES & OREIADES. สืบค้นจาก : www.britannica.com/topic/Greek-mythology

Dryads: The Nymphs of the Trees. สืบค้นจาก : www.mythologysource.com

ดรายแอดส์ Dryad The spirits of the tree. สืบค้นจาก : www.news.postjung.com/1005055

พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม อักษร ข – ฉ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. สืบค้นจาก : www.legacy.orst.go.th

ผู้เขียน

  • malyn

    แม่มดฝึกหัดตัวน้อย ผู้หลงใหลในเรื่องลึกลับสุดหัวใจ

    View all posts