กาลครั้งหนึ่ง ณ โรงเรียนอนุบาลป่าสาบสูญ
วันนี้คุณครูม้าขาวจะมาเล่านิทานเรื่องผลึกแก้วแห่งความฝันให้ทุกคนฟัง
คุณครูถามว่า “ทุกคนรู้ไหม ทำไมพระจันทร์ถึงสว่างเรืองรอง”
เด็ก ๆ ส่ายหน้าตอบ “ไม่รู้ครับ” “ไม่รู้ค่ะ”
“ที่พระจันทร์สว่างเรืองรอง เพราะบนนั้นเต็มไปด้วยผลึกแก้วแห่งความฝันนับล้าน ๆ ชิ้น ทุกชิ้นส่องประกายระยิบระยับ ถ้าเผลอไปจ้องแสงนั้นนาน ๆ เข้า อาจจะตาบอดได้นะ !”
เสือน้อยที่อยู่ใกล้คุณครูที่สุดรีบหลับตาปี๋ คุณครูหัวเราะเบา ๆ พลางเล่าต่อ “ยิ่งความฝันของคน ๆ นั้นแรงกล้ามากเท่าไร ผลึกแก้วก็จะยิ่งทอประกายพร่างพราวมากเท่านั้น สวยงามราวกับดาวทั้งฟ้ามาชุมนุมกันในที่เดียวเชียวล่ะ”
เด็ก ๆ ร้อง ว้าว พร้อมเพรียงกันเมื่อจินตนาการตาม
“บนนั้นมีความฝันของเธอ” คุณครูชี้ไปที่กระรอกน้อย “บนนั้นมีความฝันของเธอ” คุณครูชี้ไปที่เม่นน้อย “และบนนั้นก็มีความฝันของครูด้วยเหมือนกัน” คุณครูม้าขาวชี้มาที่ตัวเอง
“ทุกครั้งที่มีคนขอพร พระจันทร์จะนำผลึกแก้วแห่งความฝันมาใส่ไว้ในหัวใจ และต่อให้ผ่านไปนานเท่าใด ผลึกแก้วแห่งความฝันก็จะยังคงอยู่ภายในนั้น จนกว่าจะทำตามฝันให้สำเร็จ…”
ม้าลายน้อยยกมือ คุณครูจึงอนุญาตให้ถาม “แล้วถ้าทำตามความฝันไม่สำเร็จล่ะคะ”
คุณครูม้าขาวตอบ “ถ้าความฝันนั้นไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วว่า ความฝันนั้นเปลี่ยนแปลง หรือเธอทำหล่นหายไป…”
ยามพักกลางวันมาถึง นิทานเรื่องนี้ยังคงตราตรึงใจของกระรอกน้อยไม่เสื่อมคลาย
ตอนนี้เขากำลังนอนมองพระจันทร์กลางวันอยู่ในสนามหญ้ากับเม่นน้อยเพื่อนซี้
“เม่นน้อย คุณตาบอกว่าคุณแม่จากไปที่ไกลแสนไกล แสนไกลที่ว่านั่นไกลแค่ไหนกัน ไกลถึงพระจันทร์ไหม”
“ไม่รู้ซี ” เม่นน้อยตอบพลางส่ายหน้า
“แล้วถ้า… ถ้าการได้พบคุณแม่คือความฝันของฉัน เธอว่า คุณแม่ของฉันจะอยู่บนนั้นไหม”
“อาจจะอยู่ก็ได้นะ เพราะคุณครูบอกว่าบนนั้นมีความฝันเป็นล้าน ๆ ชิ้นเลยไม่ใช่เหรอ อืม… แล้วเธอว่า ความฝันของคุณพ่อฉันที่หล่นหายไปล่ะ จะอยู่บนนั้นไหม” เม่นน้อยถามบ้าง
“ถ้าอยากรู้ล่ะก็ ! ทำไมพวกเธอไม่ไปถามคุณพระจันทร์กับฉันล่ะ” เสียงเพนกวินน้อยร้องบอก
เขากำลังเดินไปกระโดดไป พลางกระพือปีกพึ่บพั่บเหมือนลูกเจี๊ยบหัดบิน แต่อย่างไรก็ไม่มีทางบินขึ้นเลย พยายามอยู่สองสามทีก็หยุด หอบหายใจแฮก ๆ
“เฮ้อ… ฉันจะไปขอพรคุณพระจันทร์ให้ฉันบินได้ เธอสองคนจะไปด้วยกันไหม”
“เธอรู้ทางไปบ้านคุณพระจันทร์หรือ” เม่นน้อยถาม
“รู้สิ อยู่ปลายยอดเขานางไม้โน่นไงเล่า !” เพนกวินชี้ไปยังปลายยอดเขานางไม้ ที่นั่นปกคลุมด้วยพืชนานาพรรณจนเขียวขจีไปทั้งลูก
“โอ้โฮ ไกลนะนั่น ถ้าคุณตากับคุณพ่อรู้ ฉันต้องโดนดุแน่เลย” กระรอกน้อยหน้าถอดสี เม่นน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง
“พวกเธอนี่เด็กจริง ๆ ไม่เหมือนฉันเลย ฉันน่ะ ไปตกปลากับคุณลุงทุกอาทิตย์ แถมยังมีเบ็ดตกปลาเป็นของตัวเองตั้งคันหนึ่งแน่ะ”
“โอ้โฮ เธอมีเบ็ดตกปลาของตัวเองด้วยหรือ !” กระรอกน้อยกับเม่นน้อยประสานเสียงพร้อมกัน แววตาเลื่อมใสในตัวเพนกวินน้อยขึ้นมาทันใด
พวกเขารู้ว่า เพนกวินน้อยยังเป็นคนเดียวในห้องที่มีกล่องดินสอสองชั้น แล้วยังมีสีไม้ตั้งสามสิบหกสีด้วย
“ถ้าพวกเธออยากโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนฉันละก็ คืนนี้ ตอนพระจันทร์พ้นปลายยอดเขานางไม้ ให้มาเจอกันที่ทางขึ้นยอดเขานะ ห้ามสาย และห้ามบอกใครด้วย !”
กระรอกน้อยกับเม่นน้อยพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เรื่องนี้บอกใครไม่ได้เด็ดขาดเลย !
กลางดึกคืนนั้น ฟ้ายามราตรีปลอดโปร่งจนเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตเด่นชัด
กระรอกน้อย เม่นน้อย และเพนกวินน้อย รอแล้วรอเล่า
เฝ้าคอยให้พระจันทร์เคลื่อนพ้นปลายยอดเขานางไม้ไปเสียที
ยิ่งเวลานั้นใกล้มาถึง ทั้งป่าสาบสูญก็เงียบสงัดลงทุกขณะ
รอนานอีกนิด… พระจันทร์กลมดิกมองแม่มดชราขี่ไม้กวาดผ่านไป
รอนานอีกหน่อย… พระจันทร์เหลืองอ๋อยหาวหวอดโผล่พ้นยอดเขานางไม้
สามสหายไม่รอช้า รีบย่องออกจากบ้านอย่างเงียบเชียบ ตรงไปยังจุดนัดหมายทันที
เมื่อมาพบพร้อมหน้าในเวลาเดียวกัน เด็กน้อยทั้งสามก็ออกเดินทางตรงขึ้นไปสู่ปลายยอดเขานางไม้ทันใด
ณ ที่ที่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้พบคุณพระจันทร์อยู่บนนั้น และเขาอาจจะใจดีมอบพรง่าย ๆ สักข้อสองข้อให้กับเราทุกคน
ตลอดระยะทางที่ต้องเดินขึ้นไป ช่างยากลำบากเพราะความสูงชัน
ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งหายใจลำบาก ต้นไม้รกชัฏจนบรรยากาศรอบด้านเย็นยะเยือก
สามสหายเดินข้ามลำธารสายน้อย เดินทางผ่านงานราตรีของเหล่าแฟรี่สรรพสัตว์ ที่จับกลุ่มเต้นรำกันอย่างรื่นเริง
พวกเขายังตกใจที่เห็นเด็ก ๆ เดินทางขึ้นเขามาตามลำพัง แต่ก็ยังใจดีชี้ทางที่ถูกต้องให้เด็ก ๆ ขึ้นไปพบคุณพระจันทร์ที่ยอดเขา
และด้วยความมานะบากบั่นเท่าที่เจ้าตัวเล็กทั้งสามจะทนไหว ขาน้อย ๆ นั้นก็พาพวกเขาขึ้นมาสู่ปลายทางได้ก่อนรุ่งสางจะมาเยือน
ที่แห่งนั้นมีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ฉีกยิ้มหวานอย่างใจดีมาให้แก่สามสหาย
“ว่าไงเจ้าหนูน้อย เดินทางมาถึงที่นี่ เธอปรารถนาสิ่งใดกันหนอ”
กระรอกน้อย เม่นน้อย และเพนกวินน้อยหอบแฮกกันอยู่ครู่หนึ่ง รอจนลมหายใจกลับมาปกติ กระรอกน้อยก็ร้องตอบ
“คุณพระจันทร์ใจดี เห็นคุณแม่ของผมบ้างไหมครับ”
“โอ้ เห็นซี คุณแม่สุขสบายดีเชียวหนา แต่ว่าก็คิดถึงลูกชายจับใจ”
“ผมฝันอยากจะได้พบคุณแม่อีกครั้ง ผมขอพบคุณแม่ได้ไหมครับ”
คุณพระจันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ “เรื่องนั้นไม่ได้หรอก เพราะคุณแม่ของเธอขึ้นรถไฟสายฝันไปยังที่ไกลแสนไกล แท้จริงทุกคนนั้นมีตั๋วรถไฟสายฝันเป็นของตัวเอง รอให้ถึงเวลาเดินทางของเธอก่อน เมื่อนั้น เธอจะได้พบคุณแม่อีกครั้งแน่นอน”
กระรอกน้อยหน้าสลด สู้อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่แล้วเชียว
“เพียงแต่ว่า…” คุณพระจันทร์พูด กระรอกน้อยแหงนหน้ามองอีกครั้ง “คำอธิษฐานที่เธอส่งถึงหล่อนทุกค่ำคืน ฉบับของราตรีนี้ที่ลงท้ายด้วย ผมคิดถึงคุณแม่จับใจ… คงส่งไปไม่ถึงเสียแล้ว”
“ทำไมครับ !” กระรอกน้อยหน้าตื่น
“เป็นเช่นนั้น เพราะเธอไม่ทำตามเงื่อนไขอย่างไรเล่า พรของฉันใช่ว่าให้ไปอย่างไร้แก่นสาร”
“แปลว่าอะไรหรือครับ” กระรอกน้อยคิดว่าคำพูดของคุณพระจันทร์ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน
“แปลว่าฉันมีเงื่อนไขอย่างไรเล่า และเงื่อนไขนั้น คือเธอต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังคุณพ่อกับคุณตา หากแต่ค่ำคืนนี้ เธอกลับเที่ยวเตร่มาจนถึงปลายยอดเขา ถ้าทั้งสองท่านรู้เข้าจะเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
กระรอกน้อยส่ายหน้ารัว “ผมจะไม่ดื้อแล้วครับ ต่อไปผมจะไม่ออกมาข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว !”
“สัญญาไหม” คุณพระจันทร์แย้มยิ้ม
“ครับ ! ผมสัญญา”
ว่าแล้วคุณพระจันทร์ก็มอบผลึกแก้วแห่งความฝัน ที่เรืองรองด้วยแสงสีแดงอ่อนให้กระรอกน้อย
“นี่คือผลึกแก้วแห่งความฝัน แทนคำมั่นว่าเธอจะเป็นเด็กดีตลอดไป ก่อนฉันจะส่งมอบคำอธิษฐานจากเธอถึงคุณแม่”
ผลึกแก้วนั้นลอยเลื่อนมาซึมซาบเข้าที่กลางดวงใจของกระรอกน้อย มันเย็นซ่าน และเปี่ยมไปด้วยขุมพลังอันแรงกล้า
“…และจากคุณแม่ถึงเจ้าตัวน้อย ส่งความคิดถึงผ่านจุมพิตอ่อนโยนของคุณพ่อ ผ่านอ้อมกอดใจดีของคุณตา และผ่านนิทานก่อนนอนที่ทั้งสองเล่าให้เธอฟังทุกค่ำคืน”
กระรอกน้อยได้ยินดังนั้นก็อบอุ่นหัวใจขึ้นมาทั้งดวง
“แล้วเธอเล่า ปรารถนาสิ่งใดหนอ” คุณพระจันทร์หันมาหาเม่นน้อย
“ความฝันของคุณพ่อที่หล่นหายไป คุณพอจะเห็นบ้างไหมครับ” เม่นน้อยถามตาใสแป๋ว
“ฉันเก็บรักษาความฝันทั้งหลายไว้อย่างดี รวมถึงผลึกฝันของชายผู้ที่ปรารถนาจะเป็นนักมายากลผู้นั้น แต่ใช่ว่าเขาทำผลึกฝันนั้นหล่นหายไปหรอกหนา แต่ความฝันของเขาเปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นลูกชายลืมตาดูโลกในอ้อมกอดของภรรยา เขาจึงมาขอแลกเปลี่ยนฝันอันล้ำค่า กับฝันครั้งใหม่อันมั่นคง”
คุณพระจันทร์มอบผลึกแก้วใสที่เรืองรองด้วยแสงสีฟ้าอ่อนให้เม่นน้อย
“นี่อย่างไร ความฝันเดิมของคุณพ่อ”
“ความฝันของผม คือการทำให้ความฝันของคุณพ่อเป็นจริงครับ ผมขอเก็บไว้ได้ไหมครับ”
“ได้สิเจ้าตัวน้อย ผลึกฝันนั้นเป็นของเธอแล้ว แต่มีเงื่อนไขว่า เธอต้องฝึกฝนการเล่นมายากลอย่างสม่ำเสมอ ห้ามผลัดวันประกันพรุ่งเชียวหนา”
ผลึกแก้วสีฟ้าอ่อนซึมซาบเข้าไปยังหัวใจของเม่นน้อย เขาพยักหน้า ยิ้มรับเงื่อนไขอย่างเต็มใจ
“แล้วเธอเล่า ปรารถนาสิ่งใดหนอ” คุณพระจันทร์หันมาถามเพนกวินน้อยเป็นตัวสุดท้าย
“ผมมีความฝันอยากจะบินได้ฮะ ดูปีกผมสิฮะ คุณช่วยให้ปีกนี้บินขึ้นได้ไหม”
เพนกวินน้อยกางปีกของตนเองให้คุณพระจันทร์ดู ไม่ทันไรสีหน้าก็สลดลง
“ทุกครั้งที่ผมบอกใคร ๆ ว่าอยากบินได้ ทุกคนจะหัวเราะเยาะ และบอกว่านกเพนกวินบินไม่ได้หรอกตลอดเลย ผมถึงมาหาคุณ ความฝันนี้ของผม มันไกลเกินเอื้อมไปหรือฮะ”
คุณพระจันทร์ยิ้มอบอุ่น พลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เลยเพนกวินน้อย แม้แต่ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด ก็ยังมีฝันอันยิ่งใหญ่ได้ และทุกคนล้วนคู่ควรกับความฝันของตัวเองเสมอ ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม”
คุณพระจันทร์เคลื่อนลงมาใกล้อีกหน่อย แสงนวลผ่องอาบท่วมร่างน้อยทั้งสาม
“แต่รู้ไหมว่า บางคนก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์…”
ว่าแล้วคุณพระจันทร์ก็มอบผลึกแก้วเรืองรองไปด้วยแสงสีส้มสดใสให้แก่เพนกวินน้อย ผลึกแก้วนั้นลอยมาซึมซาบไปยังหัวใจของเขาเช่นเดียวกับทุกคน
“หากไม่มีพรสวรรค์ เธอก็ต้องพึ่งพรแสวง… หากปีกคู่นี้บินไม่ได้ ก็ลองสรรค์สร้างปีกใหม่ที่บินได้ดูซี ตามหาแรงบันดาลใจในการสร้างปีกของเธอเอง ทดลองจนกว่าจะค้นพบวิธีที่ถูกต้อง”
“แล้วถ้า… มันไม่สำเร็จล่ะฮะ”
“หากล้มเหลว นั่นอาจเพราะยังไม่เจอวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตนเองอย่างไรเล่า เงื่อนไขของฉัน คือให้เธอลองพยายามอย่างสม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ แล้วสักวันหนึ่ง จะเป็นวันของเธอ” พระจันทร์แย้มยิ้มอบอุ่น
หลังจากพูดคุยกับทั้งสามจบ คุณพระจันทร์ก็เหม่อมองท้องนภาแสนไกล ค่ำคืนนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เขาเปรยออกมาแผ่วเบา “ความฝันของเรา หากทอดทิ้งมันไป แล้วใครเล่าจะดูแลให้ ฉะนั้นจงดูแลความฝันของตนเองให้ดี ๆ เถิด… เอาล่ะเจ้าเด็กน้อย พวกเธอเดินทางมาไกลแสนไกลเหลือเกิน หลับตาเสียสิ ฉันจะพาเธอไปเที่ยวในห้วงฝัน ที่ที่เธอจะได้ผ่อนคลาย ที่ที่ความปรารถนาทั้งหลายได้ปลดปล่อยออกมาเหนือจินตนาการ…”
ว่าแล้วสามสหายก็หลับตาอย่างว่าง่าย แล้วจันทราก็เป่ามนตร์ห้วงฝันให้พวกเขาเข้าสู่ภวังค์นิทรา หลับใหลไปพร้อม ๆ กัน
พระจันทร์วอนให้สายลมช่วยพัดพาเด็กน้อยทั้งสามกลับคืนสู่บ้านอย่างปลอดภัย ส่งพวกเขาไว้บนเตียงอุ่น ๆ
พวกเขาจะปวดแข้งปวดขา พวกเขาจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกเขาจะบั่นทอนหัวใจที่มาไกลแสนไกลเพียงใด ก็พบว่ามันเป็นเพียงฝัน
แต่ขอเพียงไม่ลืมเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ว่าจะพยายามจนสุดใจ เมื่อเห็นรอยเปื้อนโคลนบนรองเท้าที่น่าสงสัยตอนตื่นนอน
*
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ไม่มีสิ่งใดสำเร็จได้โดยไม่ใช้ความพยายาม แม้แต่พรที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็ต้องใช้ความพยายามเพื่อแลกมาเช่นกัน
*
หลายวันมานี้ฉันเริ่มคิดถึงต้นฉบับเก่าของตัวเองเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นมีนางเอกชื่อว่า ‘จันทร (จัน-ทอน)’ หมายถึงพระจันทร์
ต้นฉบับแฟนตาซีเรื่องนี้เป็นความปรารถนา เป็นแพชชัน เป็นความใฝ่ฝันที่ฉันอยากจะเป็นนักเขียน แต่เขียนเท่าไร นิยายเรื่องยาวนี้ก็ยังไม่จบสักที และต้นฉบับเรื่องนี้ก็มีอายุมายาวนานถึง 10+ ปีแล้วค่ะ
กระทั่งจู่ ๆ ฉันก็คิดถึงจันทรขึ้นมา และรู้สึกว่า ถ้าฉันไม่สานฝันของตัวเองต่อให้จบ แล้วใครจะดูแลความฝันของฉันล่ะ ฉันกลัวว่าผลึกแก้วแห่งความฝันในใจฉันจะดับมอด หรือหล่นหายไปเสียก่อน
แต่ในขณะที่เขียนนิทานเรื่องนี้เพราะอยากเตือนใจตัวเอง ฉันก็เผอิญได้พูดคุยกับน้อง และเพื่อน ๆ หลายคนที่พูดถึงการพยายามทำตามความฝันของตัวเองเหมือนกัน บางคนยังเด็กเกินกว่าจะมีฝันเดียวด้วยซ้ำ หรือความฝันของบางคนก็เชื่อมโยงกับการทำตามความฝันของคนอื่น ทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ แต่ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ล้ำค่าทั้งนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลจึงเกิดเป็นตัวละครเด็กน้อยทั้งสามนี้ขึ้นมา
กระรอกน้อย เป็นตัวแทนของคนที่มีความรักเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและสร้างฝัน
เม่นน้อย เป็นตัวแทนของคนที่ปรารถนาจะต่อยอดความฝันของคนที่ตัวเองรักให้สำเร็จ เพื่อเติมเต็มเศษเสี้ยวที่ขาดหายไปจากหัวใจเขาให้สมบูรณ์
เพนกวินน้อย เป็นตัวแทนของคนที่รู้เป้าหมาย และความปรารถนาของตนเองชัดเจน ไม่ว่าเขาจะมีพร้อมหรือไม่ก็ตาม ก็ยังพยายามสู้สุดใจ
แม้นิทานเรื่องนี้จะใช้คำว่า ‘ความฝัน’ แต่ฝันที่ฉันหมายถึง ก็ไม่ใช่แค่สิ่งที่เลือนหายไปยามตื่น
เพราะผลึกฝันจะยังคงเปล่งประกายเรืองรองในหัวใจ ยิ่งความตั้งใจแรงกล้ามากเท่าไร แสงจากผลึกแก้วก็จะยิ่งสดใสจนแม้แต่เราเองยังสัมผัสได้
ฉะนั้น… ลองอธิษฐานถึงคุณพระจันทร์ดูสิคะ บอกเล่าความฝันใฝ่ แล้วคุณจะรู้เงื่อนไขที่ต้องทำให้สำเร็จได้ ด้วยใจของคุณเอง
มาลินทร์, แม่มดฝึกหัด บรรณารักษ์